อัญมณี
อัญมณี คือ มวลของแข็งที่ประกอบไปด้วยแร่ชนิดเดียวกัน หรือหลายชนิดรวมตัวกันอยู่ตามธรรมชาติ โดยจะประกอบขึ้นจาก สาร อินทรีย์ หรือ อนินทรีย์ก็ได้ เนื่องจากองค์ประกอบของเปลือกโลกส่วนใหญ่เป็นสารประกอบซิลิกอนไดออกไซด์ ดังนั้นเปลือกโลกส่วนใหญ่มักเป็นแร่ตระกูลซิลิเกต นอกจากนั้นยังมีแร่ตระกูลคาร์บอเนต เนื่องจากบรรยากาศโลกในอดีตส่วนใหญ่เป็นคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำฝนได้ละลายคาร์บอนไดออกไซด์บนบรรยากาศลงมาสะสมบนพื้นดินและมหาสมุทร สิ่งมีชีวิตอาศัยคาร์บอนสร้างธาตุอาหารและร่างกาย แพลงตอนบางชนิดอาศัยซิลิกาสร้างเปลือก เมื่อตายลงทับถมกันเป็นตะกอน หินส่วนใหญ่บนเปลือกโลกจึงประกอบด้วยแร่ต่างๆ
หินสีชนิดต่างๆ (ตัวอย่าง)
1.เพชร
2.บุษราคัม
3.ทับทิม
4.มูนสโตน
5.เพทาย
6.ไพลิน
7.โกเมน
8.มรกต
9.เพชรตาแมว
10.นิล
เพชร
เพชร เป็นอัญมณีรูปแบบหนึ่งของคาร์บอน จัดเรียงตัวเป็นทรงแปดหน้า เป็นแร่ที่แข็งที่สุดตามสเกลของโมส์ (Moh's scale) มีค่าความแข็งเท่ากับ 10
เพชรมีหลายสี สีที่นิยมที่สุดคือสีขาวบริสุทธิ์ สีที่หายากคือสีแดง ฟ้า เขียว ส้ม ชมพู เรียก "แฟนซีไดมอนด์" มีราคาสูงมาก การเจียระไนเป็น 52 เหลี่ยมนับว่าสวยที่สุด เพชรเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ ความแข็งแกร่ง แหล่งของเพชรมีอยู่ทั่วโลก ส่วนมากพบที่บราซิลและแอฟริกาใต้
ประวัติ
เพชรมีการกล่าวถึงและทำเหมืองเพชรครั้งแรกในประเทศอินเดีย โดยเฉพาะชั้นหินที่เกิดจากการทับถมของตะกอนน้ำพาเป็นเวลาหลายศตวรรษตามแม่น้ำเพนเนอร์ กฤษณะ และ โคธาวารี เพชรเป็นที่รู้จักในประเทศอินเดียมาไม่น้อยกว่า 3,000 ปีแต่ไม่เกิน 6,000 ปี
อัญมณีเพชรกลายเป็นสิ่งมีค่าเมื่อมีการนำไปใช้เป็นรูปเคารพทางศาสนาในอาณาจักรอินเดียโบราณ นอกจากนี้ ยังมีการใช้งานเพชรเป็นเครื่องมือแกะสลักตั้งแต่สมัยต้นประวัติศาสตร์ของมนุษย์อีกด้วย ความนิยมของเพชรได้เพิ่มขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เนื่องจากอุปทานที่เพิ่มขึ้น เทคนิคการตัดและขัดเกลาที่ดีขึ้น การเติบโตของเศรษฐกิจโลก และการปฏิรูปและความสำเร็จของการโฆษณาเผยแพร่
ในปี ค.ศ. 1772 อ็องตวน ลาวัวซีเยได้ใช้แว่นขยายรวมรังสีดวงอาทิตย์ไปบนเพชรในบรรยากาศที่มีแต่ออกซิเจน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผลิตภัณฑ์จากการเผาไหม้มีเพียงแต่คาร์บอนไดออกไซด์ เป็นการพิสูจน์ว่าเพชรเป็นองค์ประกอบของคาร์บอน ต่อมาในปี ค.ศ. 1797 สมิทสัน เท็นแนนต์ (Smithson Tennant) ได้ทำซ้ำและเพิ่มเติมการทดลองนี้ โดยแสดงให้เห็นว่าการเผาไหม้เพชรและกราไฟท์จะปลดปล่อยก๊าซที่มีองค์ประกอบเดียวกัน สมิทสันได้สร้างสมดุลสมการเคมีของสารเหล่านี้ขึ้นมา
การใช้งานเพชรส่วนมากในปัจจุบันเป็นการใช้ในเชิงอัญมณีซึ่งใช้ทำเครื่องประดับ การใช้งานในลักษณะนี้สามารถนับย้อนไปได้ถึงในสมัยโบราณ การกระจายของแสงขาวในสเปกตรัมสีเป็นลักษณะพื้นฐานทางด้านอัญมณีวิทยาของอัญมณีเพชร ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ผู้เชี่ยวชาญในด้านอัญมณีวิทยาได้พัฒนาวิธีแบ่งระดับของเพชรและอัญมณีชนิดอื่นบนพื้นฐานของลักษณะที่สำคัญในเชิงมูลค่าของอัญมณี 4 ลักษณะหรือที่รู้จักกันในชื่อ 4 ซี ถูกใช้เป็นพื้นฐานการบ่งชี้ของเพชร ประกอบด้วย กะรัต (carat) การตัด (cut) สี (color) และ ความสะอาด (clarity) เพชรไม่มีตำหนิที่มีขนาดใหญ่ที่สุดรู้จักกันในชื่อ พารากอน
กะรัต
น้ำหนักซึ่งเป็นมาตรฐานในการวัดน้ำหนักของอัญมณี ซึ่งเทียบกับมาตราเมตริกได้ 0.2 กรัม ทั้งนี้ มาตรน้ำหนักกะรัตนี้ พ้องเสียงกับคำว่า กะรัต (Karat) ที่ใช้วัดระดับความบริสุทธิ์ของทองคำ ซึ่งทองคำมีค่าความบริสุทธิ์ 99.99% มีค่าเท่ากับ 24 กะรัต (Karat)
สี
การจำแนกเฉดสีของเพชร สามารถเรียงจาก D ไปจนถึง Z ซึ่งหากแทนด้วยอักษร D จะหมายถึง มีความขาวใส มากที่สุด ซึ่งบางครั้งคนไทยจะเรียกว่า "น้ำ" เพชรน้ำยิ่งสูงก็จะยิ่งขาวและไม่มีสีเหลืองเจือปน เพชรระดับไร้สี (Colorless) ได้แก่ เพชรน้ำ 100, 99, 98 หรือ เพชรสี D,E,F ส่วนเพชระดับเกือบไร้สี (Near Colorless) ได้แก่เพชรน้ำ 97, 96, 95, 94 หรือ G,H,I,J ดูตัวอย่างการเทียบ สีเพชรส่วนเฉดสีอื่นๆ จะไล่ไปเรื่อยๆเช่น สีนวลอ่อน อาจจะแทนด้วยอักษร G สีเหลืองแชมเปญ จะไล่ลงไปเป็น L เหลืองเข้ม จะใช้แทนด้วย P จนกระทั่งไปถึงตัวอักษร Z ที่จะเป็นสีเหลืองสด และถูกแยกออกเป็นเฉดสีเพชรแฟนซี
การจำแนกสีของเพชร จะแยกเฉพาะโทนสี ขาว และเหลืองเท่านั้น หากแยกออกไปจากนี้จะเป็นรูปแบบเพชรแฟนซี ซึ่งจะมีสีสันสดใสและแปลกตาออกไป
เหตุที่แยกโทนสีเฉพาะสีเหลืองเพราะว่า คาร์บอนในตัวของเพชร เมื่อได้รับความร้อนหรือสารเคมีที่เป็นองค์ประกอบอื่นๆ จะทำให้เพชรมีสีแตกต่างออกไป เช่นเพชรสีเหลืองมีธาตุไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย สีน้ำเงิน อาจมีไทเทเนียมและเหล็กเจือปน หรือสีแดงอาจจะเป็นโครเมียมเจือปน ส่วนเพชรชมพูนั้นเกิดจากโครงสร้างของตัวเพชรเอง ส่วนสีเขียวนั้นเป็นเพชรที่ได้รับรังสี ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ทำให้เกิดเป็นเพชรแฟนซี ที่มีสีสันแตกต่างออกไป และราคาแพงมากกว่าสีขาว เนื่องจากหายาก แต่อย่างไรก็ตาม เพชรสีขาวใสสะอาด เป็นที่นิยมมากกว่าเพชรแฟนซี แต่ในปัจจุบันได้มีผู้ผลิต หลายราย นำเพชรสีขาวมาปรับปรุงคุณภาพเพื่อให้เกิดเป็นเพชรสีแฟนซี ต่างๆ ขึ้น เช่น ทำการอบ การเผา หรือการฉายรังสี ทำให้เกิดสีต่างๆ เช่น สีเขียว สีเหลือง และสีฟ้า เป็นต้น
บุษราคัม
บุษราคัม (Yellow sapphire) เป็นอัญมณีประเภทคอรันดัมที่มีสีเหลือง พบได้ในธรรมชาติเป็นแร่เดียวกับทับทิม ไพลิน เขียวส่อง พัดพารัดช่า และพวก Fancy sapphire แต่ส่วนใหญ่ที่ขายในท้องตลาดจะได้จากการเผาพลอยคอรันดัมที่มีสีเหลืองจาง มีตำหนิสีอื่นปนบ้าง(เหลือง,เขียว,นำเงินมาปนกัน) และสีเขียว(เขียวส่อง) ทำให้มีสีสวยงาม เข้มขึ้นขายได้ราคาสูง พลอยบุษราคัมสีจะมีตั้งแต่เหลืองอ่อนเรียกบุษย์น้ำเพชร, สีอมเขียวเรียกว่าบุษย์น้ำแตง, สีเหลืองทองเรียกบุษย์น้ำทอง, สีคล้ายเหล้าเรียกบุษย์น้ำแม่โขง, สีเหลืองเข้มมากเรียกบุษย์น้ำขมิ้นเน่า, สีเหลืองออกส้มเรียกว่าบุษย์น้ำจำปา , บุษย์น้ำแม่โขงและน้ำทองเป็นที่นิยมจะมีราคาแพง โดยน้ำโขงจะแพงกว่า ลักษณะที่ดีควรเลือกพลอยที่เจียระไนได้สัดส่วน ก้นไม่บางจนเกินไป ใสไม่มีตำหนิที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พลอยจึงจะมีประกายงดงาม แหล่งบุษราคัมที่สำคัญคือ ประเทศไทย อาทิเช่น จันทบุรี และ กาญจนบุรี รวมถึง ประเทศศรีลังกา ทวีปแอฟริกา ออสเตรเลียและอื่นๆ
ทับทิม
ทับทิม หรือ มณี ,รัตนราช,ปัทมราช (อังกฤษ: Ruby) เป็นรัตนชาติชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในตระกูลคอรันดัม(Corundum)เช่นเดียวกับบุษราคัม ไพลิน เขียวส่องและ Fancy shappire มีความแข็งรองจากเพชร เป็นที่นิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับมาก เพราะมีสีสวยและมีความแข็งแกร่งเปล่งประกายจับตา เป็นที่นิยมมากกว่าอัญมณีสีแดงชนิดอื่นๆ มนุษย์รู้จักทับทิมมานาน กษัตริย์มักนำมาประดับมงกุฏและสวมใส่ออกขณะรบ เป็นที่แพร่หลายมากๆในชมพูทวีป ทับทิมในภาษาสันสกฤตโบราณคือ "ratanraj" หมายถึงเจ้าแห่งอัญมณีทั้งปวง จนทับทิมถูกขนานนามว่าอัญมณีแห่งราชา ในประเทศไทยนั้นถือว่าทับทิมเป็นอัญมณีหนึ่งในนพรัตน์ โดยธรรมชาตินั้นทับทิมมักมีเนื้อขุ่น ตำหนิมากบางชิ้นทึบแสงดูไม่สวยงามดังนั้นทับทิมในท้องตลาดส่วนใหญ่ผ่านการเพิ่มคุณภาพด้วยความร้อนมาแทบทั้งสิ้น สีที่นับว่าหายากและราคาแพงมหาศาลคือ สีแดงสดแบบเลือดนกพิราบเนื้อใสสะอาดสมบูรณ์แบบทั้งสัดส่วนและประกายขนาด 3-4กะรัตอาจจะมีราคาสูงกว่า 7 หลัก ถ้าสูงกะรัตกว่านี้จะหายากมากๆราคาอาจถึง 8หลักเลยทีเดียว สีแดงอมชมพูก็เป็นที่นิยมอย่างมากส่วนใหญ่มาจากพม่า มีราคาสูงมาก นอกจากนั้นทับทิมยังมีการเกิดปรากฏการณ์สตาร์ มีลักษณะสาแหรกเนดาว 6 แฉกอยู่กลางพลอย ชนิดนี้ก็มีราคาสูงจะเจียระไนทรงหลังเต่า หลังเบี้ยแต่ควรระวังของปลอม ปัจจุบันมีการทำ "ดาวปลอม"ด้วยการดิฟิวชั่น ข้อสังเกตคือของธรรมชาติจะไม่มีเส้นแฉกดาวคมชัดและเห็นยาวไม่จนถึงก้น ลักษณะขาดาวอาจเลือนๆและดูเหมือนอยู่ลึกลงไปในพลอย ก้นพลอยอาจไม่มีการเจียระไนแต่โกลนไว้เฉยๆก็ได้ ทับทิมที่มีความงาม ประกายดีและสะอาดจะถูกเจีนระไนแบบเหลี่ยมประกาย ส่วนที่มีตำหนิมักเจียระไนแบบหลังเต่าหรือหลังเบี้ย
มูนสโตน
มุกดา, มุกดาหาร หรือ จันทรกานต์ (moonstone) เป็นแร่แฟลสปาร์ความแข็งประมาณ 5-6 โมลส์เป็นหนึ่งในนพเก้าของไทย มีทั้งสีขาวหมอกมัวคล้ายหมอกน้ำค้างยามเช้าตามหลักการนำมาประกอบเครื่องนพรัตน์ ดังคำกลอนที่ว่า "มุกดาหารหมอกมัว" และสีอื่นๆเช่น ขาว ส้ม น้ำผึ้ง ขาวใส เทา น้ำตาล ส่วนมากแล้วมุกดาหารจะมีเนื้อขุ่นหาที่ใสสะอาดได้ยาก แต่เนื้อที่ขุ่นมีลักษณะพิเศษมีเหลือบรุ้งสีออกฟ้าสีนวลคล้ายดั่งดวงจันทร์ หลายวัฒนธรรมจึงมีความเชื่อว่ามุกดาหารมีกำเนิดจากแสงของพระจันทร์ บางชิ้นเกิดเส้นพาดกลางคล้ายตาแมว (คล้ายปรากฏการณ์ที่พบในไพฑูรย์แต่จะไม่คมชัดมากเท่า) ด้วยเหตุนี้จึงนิยมเจียรไนมุกดาหารเป็นทรงหลังเต่า การใช้งานควรระมัดระวังการกระทบเสียดสี ราคานั้นไม่สูงเพราะหาง่ายแหล่งที่สำคัญเช่น พม่า ศรีลังกา (สองแหล่งนี้คูณภาพสูงที่สุด) อินเดีย มาดากัสการ์ บราซิล สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก แทนซาเนียและอื่นๆ มีบางคนเข้าใจผิดว่ามุกดาหารกับไข่มุกเป็นสิ่งเดียวกัน ซึ่งไม่ถูกต้อง
เพทาย
เพทายเป็นอัญมณีที่ได้รับความนิยมมากในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ด้วยสีที่หลากหลาย โดยเฉพาะสีฟ้า และ สีขาว จึงนิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับ อันที่จริงเพทายพบได้เกือบทุกสี ไม่ว่าจะเป็นสีเขียว สีน้ำเงิน สีเหลือง สีน้ำตาล สีส้ม สีแดง สีน้ำตาลแดง และ สีขาว แม้กระทั่งสีม่วง แต่พบน้อย บางสีที่เห็นอาจไม่ใช่สีที่ได้จากธรรมชาติ โดยสีน้ำเงิน และ สีขาว ส่วนมากจะมาจากการปรับปรุงคุณภาพ ซึ่งเดิมเป็นสีน้ำตาล ส่วนสีเขียวเข้ม และ สีน้ำตาลเหลืองเป็นสีที่พบมากในธรรมชาตื ขณะที่ที่ลึกจะพบสีเหลืองทองซึ่งพบได้ยาก ดังนั้นจึงมีราคาแพง สีเหลือง และ สีขาว บางครั้งจะเรียกว่า “Jargoon” ซึ่งได้จากการเผาเพทายสึเหลือง และ สีน้ำตาล ส่วนเพทายสีฟ้าจะเรียกว่า “starlite” เพทายสีแดง และ สีน้ำตาลแดง อาจเรียกกันว่า “hyacinth”หรือ “jacinth” เพทายส่วนมากมาจากประเทศไทย และ ประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ข้างเคียง ซึ่งเป็นที่ที่มีการปรับปรุงคุณภาพของเพทาย ไม่ว่าจะเป็นการเผา การขัด รวมทั้งการเจียระไน ก่อนที่จะส่งออกไปขายยังต่างประเทศ ส่วนมากนิยมนำเพทายสีน้ำตาลไปเผาเพื่อให้ได้เพทายสีฟ้า หรือ สีขาว ทั้งนี้เพทายแต่ละอันก็มีการตอบสนองต่อการเผาที่แตกต่างกัน เพทายสีฟ้าที่ได้จากการเผาอาจกลับไปเป็นสีเดิมได้หากได้รับการเผาอีกครั้ง การเผาเพทายเพื่อให้ได้เพทายสีฟ้า และ สีขาวนั้นเป็นผลมาจากเพทายสีฟ้า และ สีขาว หาได้ยากในธรรมชาติแต่กลับเป็นที่นิยม จึงได้มีการปรับปรุงคุณภาพของเพทายขั้น แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าเพทายนั้นจะมีสีฟ้า หรือ สีขาว ที่ได้จากธรรมชาติ หรือจาการเผาก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ จึงทำให้เพทายสีฟ้า และ สีขาว มีราคาแพง เพทายนั้นทนทานต่อการกัดกร่อนทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นกรด หรือ เบส แต่เพทายอาจเกิดปฏิกิริยากับน้ำได้ ทำให้ความวาวของเพทายเปลี่ยนไปจากวาวแบบแก้วไปเป็นวาวแบบน้ำมัน ซึ่งเห็นได้ชัดหลังจากใส่เพทายที่เจียระไนแล้วไประยะหนึ่ง ความแข็งของเพทายอาจแตกต่างกันในแต่ละบริเวณของเนื้อพลอย โดยอาจเป็นผลมาจากการเจียระไน เพทายที่พบมักปรากฏเป็นรูปผลึก โดยรูปผลึกจะเป็นรูปแท่งปริซึมปิดด้านบน และ ด้านล่างด้วยพีระมิดสี่ด้าน เพทายมีองค์ประกอบทางเคมี คือ เซอร์คอนเนี่ยมซิลิเกต โดยมีแร่เหล็ก แร่ทอเรียม และ แร่ยูเรเนียม ปะปนอยู่ในองค์ประกอบบ้าง ซึ่งเป็นแร่กัมมันตรังสี ทำให้เพทายเกิดการแผ่รังสีออกมาเล็กน้อย เพทายจัดว่าเป็นพลอยหนัก จากการที่มีค่าความถ่วงจำเพาะตั้งแต่ 3.95-4.86 โดยส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง 4.18-4.70 ด้วยคุณสมบัตินี้ทำให้สามารถตรวจสอบได้ง่าย ทั้งนี้อาจมีคุณสมบัติบางอย่างที่แตกต่างกันไป เช่นจะพบการเปลี่ยนสีคู่ (dichroism) ในเพทายสีฟ้าเท่านั้น และ เพทายสีฟ้าจะมีความแข็งน้อยกว่าเพทายปกติ ประมาณ 7 ½ -6 ทำให้เมื่อนำเพทายไปทำเป็นแหวนจึงเกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย และ ต้องนำมาแก้ไขอยู่บ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้จึงต้องเก็บรักษาอย่างดี โดยแยกเก็บต่างหากจากเครื่องประดับอื่นๆ โดยทั่วไปแล้วเพทายแบ่งเป็น 3 ชนิด ชนิดแรก คือ เพทายาที่มีสีเขียว สีเหลือง และ สีน้ำตาล บางครั้งอาจรวมถึงสีน้ำเงิน เพทายชนิดนี้มักพบในรูปของเม็ดกลม อีกทั้งยังแสดงลักษณะหักเหเดี่ยว และ ไม่ปรากฏลักษณะเปลี่ยนสีคู่ การเผาจะทำให้สีของเพทายจางลง เพทายชนิดนี้มีความถ่วงจำเพาะในช่วง 3.82-4.14 ความแข็งประมาณ 7 ¼ มีดัชนีหักเห 1.79-1.84 เพทายชนิดที่สองประกอบด้วยเพทายโทนสีแดง ซึ่งแสดงลักษณะการหักเหคู่ และ การเปลี่ยนสีคู่เล็กน้อย มักพบในรูปของผลึกเพทาย การเผาเพทายชนิดนี้ก็ทำให้สีจางลงเหมือนเพทายชนิดแรก เพทายชนิดนี้มีค่าความถ่วงจำเพาะอยู่ในช่วง 4.67-4.71 และ ความแข็ง 7 ½ มีดัชนิหักเหในช่วง 1.92-1.99 เพทายชนิดที่สามเป็นชนิดที่อยู่ระหว่างเพทายสองชนิดแรก ซึ่งหมายรวมถึงเพทายทุกโทนสี เพทายชนิดนี้นิยมนำไปเผาเพื่อให้เพทายเปลี่ยนสี การเผาทำให้สีของเพทายสวยขึ้น รวมถึงค่าความถ่วงจำเพาะ และค่าอื่นๆก็เพื่มขึ้นด้วย โดยค่าความถ่าวจะเพาะจะอยู่ในช่วง 4.30-4.70 ความแข็งประมาณ 7 ¼ - 7 ½ และค่าดัชนิหักเหอยู่ระหว่าง 1.79-1.99 เพทาย หรือคำว่า Zircon อาจมาจากภาษาอะราบิก โดยคำว่า vermilion หรือจากภาษาเปอร์เซีย คำว่า zargoon ที่หมายถึง สีทอง
ไพลิน
แซฟไฟร์ (อังกฤษ: Sapphire) เป็นพลอยตระกูลคอรันดัม มีหลายสี แต่โดยทั่วไปมักหมายถึงเฉพาะที่มีสีน้ำเงิน ในประเทศไทย เดิมเรียกว่า นิลกาฬ (นิลก็ยังหมายถึงพลอยอีกชนิดหนึ่ง) แต่ปัจจุบันนิยมเรียกว่า ไพลิน ตามชื่อของแหล่งกำเนิดจากเหมืองพลอย ในจังหวัดไพลิน ประเทศกัมพูชา ที่ในช่วงหนึ่งมีการนำเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก [2]
แซฟไฟร์จัดเป็นแร่ในประเภท (Species) คอรันดัม (Corundum) เช่นเดียวกับทับทิม (Ruby) ซึ่งพลอยคอรันดัมนี้เป็นพลอยที่มีความแข็งรองลงมาจากเพชร จึงทำให้แซฟไฟร์ เหมาะอย่างยิ่งที่จะนำไปทำเครื่องประดับ
ชาวเปอร์เซียโบราณเชื่อกันว่าแซฟไฟร์ คือ "หินที่มาจากฟ้า" เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าโลก ตั้งอยู่บน แซฟไฟร์ ขนาดมหึมา จึงทำให้สะท้อนแสงแดด ออกไปสู่ท้องฟ้ามีสีน้ำเงิน ตามตำนานกล่าวว่า แซฟไฟร์เป็นพลอยของกษัตริย์ที่ใช้สวมใส่เพื่อป้องกันภัยอันตราย ทำให้เชื่อกันว่าผู้ที่สวมใสแซฟไฟร์จะมีชีวิตที่สดใส มีพลังในการดำรงชีวิต และแซฟไฟร์นี้สามารถปกป้องอันตรายแก่ผู้ที่สวมใส่ได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังถือเอาแซฟไฟร์นี้เป็นสัญลักษณ์ของความจริงใจ และมั่นคงอีกด้วย
ปัจจุบันหากพูดถึงแซฟไฟร์ คำเดียวจะหมายถึง Blue Sapphire หรือ ไพลิน มาจากภาษาเปอร์เชีย "Saffir" หรือจากภาษากรีก "Sappheiros" แปลว่า สีน้ำเงิน หรือจากภาษาสันสกฤต "ศนิปฺริย" (ศนิ = พระเสาร์, ปฺริย = ผู้เป็นที่รัก) แปลว่าของมีค่าของเทพแซทเทิร์น (ในเทพปกรณัมโรมัน) [3] [4] อย่างไรก็ตาม ในภาษาสันสกฤตยังมีคำเรียกแซฟไฟร์สีน้ำเงินว่า "อินฺทฺรนีล" หมายถึง "สีน้ำเงินเหมือนพระอินทร์"
ในสมัยโบราณ จะเรียกพลอยคอรันดัมที่มีสีน้ำเงินว่าแซฟไฟร์ แต่ในความเป็นจริงพลอยคอรันดัมมีได้หลากสี เช่น สีเหลือง, ชมพู, ม่วง, เขียว เป็นต้น ดังนั้นหากเราต้องการจะเรียกพลอยคอรันดัมชนิดอื่นที่ไม่ใช่ไพลิน (Blue Sapphire) เราจะต้องระบุสีด้วย เช่น Yellow Sapphire (บุษราคัม), Green Sapphire (เขียวส่อง), Pink Sapphire (พลอยชมพู) เป็นต้น
ในปัจจุบันแซฟไฟร์ส่วนใหญ่มักผ่านการปรับปรุงคุณภาพด้วยความร้อนหรือที่เราเรียกกันว่าการเผา แต่ก็ได้รับการยอมรับกันโดยทั่วไปในตลาดพลอย เพราะการเผาจะทำให้สีดีของแซฟไฟร์ดีขึ้นและอยู่คงทนถาวร
แซฟไฟร์เป็นพลอยประจำเดือนเกิดของผู้ที่เกิดเดือนกันยายน และแซฟไฟร์ยังถือเป็นสัญญลักษณ์ที่คู่รักนิยมมอบเป็นของขวัญให้แก่กันในโอกาสครบรอบการแต่งงานในปีที่ 5, 15, 23 และ ปีที่ 45 แซฟไฟร์ได้รับความนิยมในหมู่คนทั่วไปทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
โกเมน
โกเมน หรือชื่อทางวิชาการว่า การ์เนต (อังกฤษ: Garnet) มาจากภาษาละตินว่า granatus แปลว่า เมล็ดพืช เป็นแร่ในกลุ่มซิลิเกต ที่ถูกใช้เป็นอัญมณีมาตั้งแต่ยุคสัมฤทธิ์
มรกต
มรกต (สูตรเคมี: Be3Al2(SiO3)6) เป็นแร่รัตนชาติหรืออัญมณี สีเขียวเกิดจากธาตุโครเมียมและวานาเดียม มรกตจัดอยู่ในแร่ตระกูลเบริล ซึ่งเบริลเป็นแร่ที่มีหลายวาไรตี ได้แก่ แอควะมะรีน (aquarmarine) มีสีฟ้า โกลเดนเบริลหรือเฮลิโอดอร์มีสีเหลือง สีแดงเรียกเร็ดเบริล สีชมพูเรียกว่ามอร์แกไนต์ คุณภาพของมรกตอยู่ที่สีหากมีสีเขียวทั่วทั้งเม็ดก็จัดว่าคุณภาพสูง ส่วนตำหนินั้นมรกตธรรมชาติทุกชิ้นจะต้องมีทั้งสิ้น ลักษณะเป็นเส้น ริ้วสีขาว จุดสีดำ สีสนิม ฝ้าขาวขุ่นตามธรรมชาติ รอยริ้วที่ดูคล้ายรากผักชีเรียกว่า "สวน" (jardin)
มรกตคุณภาพดีหรือไม่ดีก็มีทั้งสิ้น แต่พิจารณาปริมาณและการวางตัวของตำหนิ (ต้องเลือกที่ไม่มีตำหนิต่อเนื่องราวมาจนถึงหน้าพลอย หรือจากขอบหนึงไปถึงขอบหนึ่ง เพราะจะมีผลต่อการนำไปใช้ อาจไม่คงทน) ซึ่งอาจจะมีผลกับการส่องประกายแสงออกมาจากมรกต หากมีมากไปพลอยจะดูทึบแสง ไม่มีประกายซึ่งมักได้รับการเจียระไนแบบหลังเบี้ยหรือหลังเต่า หากทึบจนตันแสงไม่ส่องผ่านเลยและมีสีเขียวซีดจะจัดเป็นมรกตคุณภาพต่ำที่สุด มรกตมีการทำเลียนแบบ สังเคราะและปรับปรุงคุณภาพ (อาบนำมันบ้าง ชุบสี ซ่านสี เคลื่อบสี แช่สารเคมีเฉพาะ) ดังนั้นจึงควรตรวจสอบก่อนการซื้อเพราะจัดเป็นพลอยที่มีราคาสูงมาก (ถ้าคุณภาพดีมากและขนาดใหญ่ด้วยแล้ว) บางกรณีนั้นแยกแทบไม่ออกด้วยตาเปล่าต้องส่งห้องปฏิบัติการที่น่าเชื่อถือช่วยตรวจสอบ
มรกตนั้นมีหลายเฉดสี แหล่งที่สำคัญมากและโด่งดังไปทั่วโลกคือ มรกตจากโคลอมเบีย ซึ่งได้รับการยกย่องว่างามที่สุดในโลกราคามักสูงกว่าแหล่งอื่น ๆ และถูกกล่าวอ้างถึงบ่อย ๆ มีเหมืองสำคัญซึ่งผลิตมรกตสีต่างกันคือ เหมืองชิบอร์ (Chivor) มีมรกตสีเขียวสดอมเหลือง และเหมืองมูโซ (Muzo) ให้มรกตสีเขียวอมฟ้าคล้ายสีของน้ำทะเล การดูแลรักษาไม่ควรใส่ทำงานหนัก เพราะทนแรงกระแทกได้ไม่ดีนักมีความเปราะ หลีกเลี่ยงสารเคมี น้ำหอม และสเปรย์แต่งผม
เพชรตาแมว
คริโซเบริล (Chrysoberyl) อยู่ในกลุ่มแร่ออกไซด์ มีโลหะอลูมีเนียมและเบริลเลี่ยมเป็นส่วนประกอบ มักพบในรูปผลึกแบบแปดเหลี่ยม เป็นแท่งแบนรุปหเหลี่ยม มีความแข็งเป็น 8.5 มีความวาวแบบแก้ว คริโซเบริลปกติมีสีเหลืองอมเขียว อมเทา และอมน้ำตาล
คริโซเบริลสีเหลืองทอง (Golden chrysoberyl) พลอยชนิดนี้ถือว่าเป็นคริโวเบริลอย่างแท้จริง มีลักษณะตรงตามความหมายของคริโซเบริล ซึ่งหลายถึงพลอยที่มีสีเหลืองทอง พลอยมักมีความดปร่งใส่ มีคุณภาพและราคาสูง พบที่บราซิล ซีลอน และมาดากัสกา
นิล
นิล (อังกฤษ: Black Spinel) เป็นแร่รัตนชาติชนิดหนึ่ง ในสมัยโบราณเรียกกันว่า "มณีนิล" เพราะถือว่านิลคืออัญมณีชนิดหนึ่ง และเชื่อกันว่านิลมีพลังศักดิ์สิทธิ์ซ่อนอยู่สามารถปกป้องให้พ้นภยันอันตรายได้ เพราะนักรบในสมัยโบราณของไทยได้ใช้ "นิลและโป่งขาม" เป็นเครื่องรางในการออกศึก ต่อมานิลถูกนำมาใช้เป็นเครื่องบอกฐานะ ยศศักดิ์ จนในที่สุดก็นำมาใช้เป็นเครื่องประดับจวบจนปัจจุบัน
อ้างอิง
https://th.wikipedia.org/